วันเสาร์ที่ 20 พฤศจิกายน พ.ศ. 2553

มนุษย์ต่างดาว

ประวัติUFO
คำว่า"ยูเอฟโอ"นี้มันมาจาก UFO=Unidentified flying Objectหรือถอดพอได้ใจความตามภาษาไทยว่า"วัตถุบินที่ไม่สามารถจำแนกได้"หรือรวบรัดเอาง่ายๆว่า จานผี ซึ่งมันก็เป็นอะไรสักอย่างที่สับสนอยู่เหมือนกัน ถ้าท่านพูดกับบุคคลที่ไม่ได้ติดตามเรื่องนี้มา แล้วพวกเขาก็จะคิดขึ้นมาทันทีว่า-มันเป็นจานบินที่ขับขี่โดยมนุษย์ตัวเล็กๆสีเขียว-ซึ่งไม่ถูกต้องเลย
ยูเอฟโอนี้มันหมายถึง"วัตถุหรือปรากฏการณ์ใดๆในอากาศซึ่งผู้พบเห็นไม่สามารถที่จะอธิบายได้" ซึ่งมันอาจจะเป็นลูกไฟประหลาดหรือประเภทของดาวตก,เมฆที่ก่อตัวเป็นรูปร่างแปลกประหลาด
กลุ่มหมู่บินหรือการบุกของกองเรือรบ
ยูเอฟโอส่วนมากที่สุดคือเหตุการณ์โดยธรรมชาติที่ห่างไกลจากคำอธิบายของนวนิยายในทางวิทยาศาสตร์ใด ๆ ถ้าท่านเกิดความรู้สึกที่อยากจะหาเรื่องหาราวขึ้นมาในวันนี้แล้วละก็คำว่า"บิน"นี้มันก็อาจจะรวมได้ทั้ง บางสิ่งบางอย่างที่มันตกลงมา จากฟากฟ้าหรือแม้แต่กลไกอะไรสักอย่างที่มันลงมาสู่พื้นดิน

หลากหลายเผ่าพันมนุษย์ต่างดาว

เป็นข่าวที่สร้างความสนใจให้กับคนไทยมากที่เดียวกับการพบเห็นสิ่งที่อาจจะเป็น "มนุษย์ต่างดาว" กลางทุ่งนาของชาวบ้าน บ้านห้วยน้ำราก หมู่ 5 ตำบล จันจว้า อำเภอแม่ริม จังหวัดเชียงรายหลายสิบคน เมื่อเช้าของวันที่ 3 กันยายน 2458

ชาวบ้านบอกว่าสิ่งที่เห็นคล้ายคนแคระ สูงประมาณ 70 เซนติเมตร ผิวสีน้ำตาลเทา ศรีษะกลมโต ไม่มีจมูก ปากเล็กบาง หน้าอกแบนราบ วนเวียนอยู่ในทุ่งนาเหมือนจะหาอะไรบางอย่างนานนับชั่วโมง หลังจากนั้นลอยตัวหายไปในท้องฟ้า

เรื่องราวของยูเอฟโอและมนุษย์ต่างดาวเป็นเรื่องที่เป็นไปไม่ได้ในทรรศนะของนักวิทยาศาสตร์ส่วนใหญ่ แต่กลับเป็นเรื่องจริงของคนกลุ่มหนึ่ง คนกลุ่มนี้คือ นักยูเอฟโอวิทยา หรือ นักวิจัยยูเอฟโอ
ข้อมูลมหาศาลจากการศึกษาคนที่อ้างว่าเคยเผชิญหน้ากับมนุษย์ต่างดาวและ "เหยื่อ" ที่ถูกลักพาตัวจำนวนมากของนักวิจัยยูเอฟโอ ทำให้พวกเขาสามารถบอกรูปพรรณสัณฐานและจำแนกเผ่าพันธุ์ของมนุษย์ต่างดาวซึ่งบุกรุกโลกเราได้อย่างละเอียด

หลากหลายเผ่าพันมนุษย์ต่างดาว

เป็นข่าวที่สร้างความสนใจให้กับคนไทยมากที่เดียวกับการพบเห็นสิ่งที่อาจจะเป็น "มนุษย์ต่างดาว" กลางทุ่งนาของชาวบ้าน บ้านห้วยน้ำราก หมู่ 5 ตำบล จันจว้า อำเภอแม่ริม จังหวัดเชียงรายหลายสิบคน เมื่อเช้าของวันที่ 3 กันยายน 2458

ชาวบ้านบอกว่าสิ่งที่เห็นคล้ายคนแคระ สูงประมาณ 70 เซนติเมตร ผิวสีน้ำตาลเทา ศรีษะกลมโต ไม่มีจมูก ปากเล็กบาง หน้าอกแบนราบ วนเวียนอยู่ในทุ่งนาเหมือนจะหาอะไรบางอย่างนานนับชั่วโมง หลังจากนั้นลอยตัวหายไปในท้องฟ้า

เรื่องราวของยูเอฟโอและมนุษย์ต่างดาวเป็นเรื่องที่เป็นไปไม่ได้ในทรรศนะของนักวิทยาศาสตร์ส่วนใหญ่ แต่กลับเป็นเรื่องจริงของคนกลุ่มหนึ่ง คนกลุ่มนี้คือ นักยูเอฟโอวิทยา หรือ นักวิจัยยูเอฟโอ
ข้อมูลมหาศาลจากการศึกษาคนที่อ้างว่าเคยเผชิญหน้ากับมนุษย์ต่างดาวและ "เหยื่อ" ที่ถูกลักพาตัวจำนวนมากของนักวิจัยยูเอฟโอ ทำให้พวกเขาสามารถบอกรูปพรรณสัณฐานและจำแนกเผ่าพันธุ์ของมนุษย์ต่างดาวซึ่งบุกรุกโลกเราได้อย่างละเอียด

การติดต่อกับมนุษย์ต่างดาว

Claudius Ptolemy คือนักดาราศาสตร์ชาติกรีก ผู้เคยมีชีวิตอยู่ในสมัยพุทธศตวรรษที่ 7 เขามีความเชื่อว่าโลกของเราคือ จุดศูนย์กลาง ของจักรวาล และดาวทุกดวงโคจรรอบโลก คำสอนนี้ได้เป็นที่ยอมรับกันมานานกว่าหนึ่งพันปี จนกระทั่งถึงปี พ.ศ. 2086 (สมัยพระชัย ราชา) เมื่อ Nicolaus Copernicus ชาวโปแลนด์ ได้กล่าวแย้งว่าดวงอาทิตย์ต่างหากที่เป็นศูนย์กลางหาใช่โลกไม่ และเมื่อ Galilei Galileo ได้ใช้กล้องโทรทรรศน์ที่เขาประดิษฐ์ขึ้นส่องดูดาวบนฟ้า เขาได้เห็นเทือกเขาบนดวงจันทร์ เห็นปรากฎการณ์ข้างขึ้นข้างแรม ของดาวศุกร์เห็นจุดดับบนดวงอาทิตย์และเห็นดวงจันทร์บริวาร 4 ดวงของดาวพฤหัสบดี เขาจึงกล่าวยืนยันว่าถ้อยแถลงของ Copernicus คือเรื่องจริง ซึ่งการสนับสนุนเช่นนี้ได้ทำให้วงการศาสนาในสมัยนั้นสั่นสะเทือนมาก เพราะหลักฐานและความเชื่อของ Galileo ขัดแย้งกับคำสอนในศาสนาทุกประการ Galileo จึงถูกคณะตุลาการศาสนากล่าวห้ามมิให้เผยแพร่ความคิดนอกรีตนี้ตลอดชีวิต
นับจากปี พ.ศ.2152 ซึ่งตรงกับสมัยพระเอกาทศรถ จนกระทั่งถึงปีนี้ความรู้และความนึกคิดของมนุษย์ด้านที่เกี่ยวกับจักรวาลได้รับการ ปรับเปลี่ยนอย่างมโหฬาร เช่น เรารู้ว่าจักรวาลกำลังขยายตัวด้วยความเร่งตลอดเวลา และมีอายุประมาณ 12,000 ล้านปี ส่วนสุริยจักรวาล ของเรามีดาวบริวารคือดาวเคราะห์ 9 ดวง ดวงจันทร์ต่างๆ รวม 91 ดวง มีดาวหางและดาวเคราะห์น้อยอีกเป็นจำนวนนับหมื่น นอกจากนี้ ดวงอาทิตย์ก็เป็นเพียงดาวฤกษ์ขนาดเล็กดวงหนึ่งในกาแล็กซีทางช้างเผือก (Milky Way) ที่มีดาวฤกษ์อื่นๆ อีกนับแสนล้านดวง และ กาแล็กซีทางช้างเผือกก็เป็นเพียงกาแล็กซีหนึ่งในกาแล็กซีจำนวนล้านล้านล้านล้านกาแล็กซีที่จักรวาลมี เป็นต้น
อนึ่ง การรู้ว่ากาแล็กซีหนึ่งๆ ประกอบด้วยดาวฤกษ์จำนวนมากถึงหนึ่งแสนล้านดวง ได้ทำให้นักวิทยาศาสตร์หลายคนคิดว่า ถ้าดวงอาทิตย์ ซึ่งเป็นดาวฤกษ์มีโลกที่มีมนุษย์อาศัยอยู่ได้ ดาวฤกษ์อื่นๆ จำนวนหนึ่งแสนล้านดวงก็น่าจะมีโลกมนุษย์บ้างเช่นกัน นั่นคือ จักรวาลนี้น่าจะมี ดาวที่มีมนุษย์ต่างดาวอาศัยอยู่จำนวนนับแสนล้านโลก โชคดีที่การคิดทำนองนี้ ณ วันนี้ ไม่เป็นภัยต่อคนคิด แต่เมื่อ 401 ปีก่อนเมื่อ Giordano Bruno แถลงว่านอกโลกก็มีมนุษย์อาศัยอยู่ เขาถูกนำตัวไปเผาทั้งเป็น
ในความพยายามค้นหามนุษย์ต่างดาว นักวิทยาศาสตร์ได้ใช้วิธีการที่หลากหลายเช่น ใช้กล้องโทรทรรศน์วิทยุสำหรับการดักฟังคลื่นวิทยุ ที่นักวิทยาศาสตร์คาดหวังว่า มนุษย์ต่างดาวส่งมาหรือค้นหาดาวเคราะห์ที่มีสภาพเหมือนโลก
กล้องโทรทรรศน์วิทยุที่ Arecibo ในประเทศ Puerto Rico เป็นอุปกรณ์สำคัญชิ้นหนึ่งที่นักดาราศาสตร์ใช้ในการค้นหามนุษย์ ต่างดาว เพราะจานโค้งรับสัญญาณของกล้องซึ่งมีเส้นผ่าศูนย์กลางยาว 305 เมตร สามารถรับคลื่นวิทยุใดก็ตามที่ถูกส่งออกมาจาก กาแล็กซีที่อยู่ห่างจากโลกหนึ่งแสนสี่หมื่นล้านล้านกิโลเมตรได้หมด
แต่การใช้กล้องที่ Arecibo รับสัญญาณก็ใช่ว่าจะทำได้อย่างไร้ปัญหาใดๆ เปรียบเสมือนเวลาต้องการได้ยินเสียงเพื่อนของเราขณะที่เรา อยู่ท่ามกลางฝูงชนจำนวนหมื่น ซึ่งต่างก็ส่งเสียงอึงมี่นั้นเสียงของเขาก็จะปะปนไปกับเสียงคนอื่น จนกระทั่งเราฟังไม่ออก คลื่นวิทยุต่างๆ จากดวงดาวก็เช่นกัน คือมีเป็นล้านๆ คลื่น ดังนั้น การที่จะแบ่งแยกคลื่นๆ เดียวออก จึงเป็นเรื่องที่ยากพอๆ กัน และถ้าเราไม่รู้ความถี่ของ สัญญาณที่ส่งมาเราก็ยิ่งไม่มีทางรับคลื่นนั้นได้เลย
เมื่อประมาณ 40 ปีมาแล้ว Phillip Morrison แห่งมหาวิทยาลัย Cornell ในสหรัฐอเมริกาได้เดาใจมนุษย์ต่างดาวว่า เขาคงส่งคลื่น วิทยุที่มีความถี่ 1,420,405,757 เฮิรตซ์ เพราะคลื่นนี้เป็นคลื่นที่อะตอมของไฮโดรเจนปลดปล่อยออกมา ทั้งนี้ก็โดยเหตุผลที่ว่าจักรวาล มีไฮโดรเจนอุดมสมบูรณ์ที่สุด และดาวทุกดวงต้องมีไฮโดรเจน นอกจากนี้ Morrison ยังให้เหตุผลอีกว่า คลื่นวิทยุที่มีความถี่ดังกล่าว สามารถเดินทางผ่านอวกาศที่เวิ้งว้างโดยไม่ถูกฝุ่นละออง หรือก๊าซใดๆ ในอวกาศถูกคลื่น ซึ่งมีผลทำให้มันสามารถเดินทางได้ไกล โดยไม่มีการบิดเบือนของสัญญาณเลย
ส่วนประเด็นที่ว่า นักวิทยาศาสตร์ต้องหันกล้องไปรับคลื่นวิทยุจากดาวดวงใดนั้น ก็เป็นเรื่องที่ต้องคิดหนักเช่นกัน เพราะดาวบนฟ้ามีอย่าง น้อย 1042 ดวง (ล้านล้านล้านล้านล้านล้านล้านดวง) และถ้าดาว (ฤกษ์) เหล่านี้มีดาวเคราะห์ที่มีมนุษย์ต่างดาวอาศัยอยู่หนึ่งล้านดวง นั่นก็หมายความว่า โดยเฉลี่ยเราต้องโฟกัสกล้องโทรทรรศน์ไปที่ดาวถึง 1042/106 = 1036 ดวง เราจึงจะได้ยินเสียงคลื่นวิทยุจาก มนุษย์ต่างดาวหนึ่งครั้ง โอกาสที่น้อยนิดเช่นนี้ อธิบายให้เราเข้าใจว่าเหตุใดเราจึงยังไม่ได้ยินเสียงมนุษย์ต่างดาวเลย
ในเวลา 40 ปีที่ผ่านมานี้ ความสามารถของนักวิทยาศาสตร์ในการได้ยินเสียงกระซิบจากมนุษย์ต่างดาวได้เพิ่มจากเดิมถึงหนึ่งล้านล้านเท่า แต่เราก็ยังไม่ได้ยินเสียงสัญญาณใดๆ จากมนุษย์ต่างดาวเลย ซึ่งนั่นอาจหมายความว่า จักรวาลนี้ไม่มีมนุษย์ต่างดาว หรือพวกเขาได้ส่ง สัญญาณมาแล้ว แต่สัญญาณยังมาไม่ถึงเรา (เช่นสัญญาณจากดาวฤกษ์ Sau Ceti ต้องใช้เวลานานถึง 12 ปี จึงถึงโลก) หรือเครื่องรับวิทยุ ของเรายังปรับความถี่ไม่ตรง หรือเรามัวพูดกันเองจนไม่ได้ยินมนุษย์ต่างดาวพูด หรือมนุษย์ต่างดาวยังไม่มีความสามารถเพียงพอที่จะ ส่งสัญญาณวิทยุได้ เพราะเราก็ต้องตระหนักว่า มนุษย์เราเองก็เพิ่งมีความสามารถในการส่งสัญญาณวิทยุ เมื่อไม่ถึง 100 ปีมานี้เอง หลังจากที่ได้อุบัติบนโลกนานถึง 2 ล้านปี
การดักฟังสัญญาณจากต่างดาวในลักษณะนี้ เป็นวิธีหนึ่งที่นักวิทยาศาสตร์ใช้ในการค้นหาเพื่อนร่วมจักรวาลของเรา ในทำนองตรงกันข้าม การส่งสัญญาณจากโลกไปติดต่อกับมนุษย์ต่างดาวก็เป็นอีกวิธีหนึ่งที่จะช่วยให้มนุษย์ต่างดาวรู้ เขามีเรา ดังนั้น ในปี พ.ศ.2517 กล้อง โทรทรรศน์วิทยุที่ Arecibo จึงได้ส่งคลื่นวิทยุแสดงภาพของสุริยจักรวาล และภาพ DNA ตรงไปที่ดาวฤกษ์ Hercules ซึ่งอยู่ห่าง จากโลก 25,000 ปีแสง ซึ่งนั่นก็หมายความว่า ถ้าดาวฤกษ์ Hercules มีดาวเคราะห์ที่มีมนุษย์ต่างดาวที่ฉลาดเฉลียวอาศัยอยู่ ปราชญ์บนดวงดาวนั้นคงได้ยินสัญญาณที่ NASA ส่งไปในปี พ.ศ.2473 ซึ่งคนส่งสัญญาณได้ละสังขารไปนานแล้ว
เมื่อเดือนกรกฎาคม พ.ศ.2544 คณะนักวิทยาศาสตร์แห่งมหาวิทยาลัยแคลิฟอร์เนียที่ Berkeley และ Santa Cruz ได้ออกแถลงการณ์ ว่า เขากำลังค้นหาสัญญาณแสงเลเซอร์จากต่างดาว โดยใช้กล้องโทรทรรศน์ที่มีเลนส์ขนาด 102 เซนติเมตร ของหอดูดาว Lick ซึ่งกล้องนี้สามารถเห็นแสงที่แวบ "นาน" หนึ่งในพันล้านวินาทีจากดาวที่ห่างออกไปหลายร้อยปีแสงได้ โครงการที่ต้องใช้งบประมาณ 460,000 บาท/ปี มีราคาถูกเพราะใช้กล้องโทรทรรศน์ที่มีอยู่แล้ว และนักวิทยาศาสตร์เจ้าของโครงการได้วางแผนจะโฟกัสกล้องไป ที่ดาวฤกษ์ที่เขาสงสัยว่าจะมีดาวเคราะห์เป็นบริวารนานประมาณดวงละ 10 นาที
จนกระทั่งถึงวันนี้ โครงการนี้ได้สำรวจดาวไปแล้วประมาณ 300 ดวง และก็ยังไม่ได้รับสัญญาณแสงเลเซอร์จากดาวเหล่านั้นแต่อย่างใด ถึงกระนั้นการค้นหาแสงเลเซอร์จากต่างดาว ก็ยังต้องกระทำต่อไปจนกว่าเขาจะเห็น
เมื่อ 50 ปีก่อนที่ Los Alamos ในรัฐ New Mexico สหรัฐอเมริกา Enrico Fermi นักฟิสิกส์ชาวอิตาลี ได้ตั้งคำถามว่า ถ้าจักรวาลนี้ มีมนุษย์ต่างดาวจำนวนมากอาศัยอยู่จริง แล้วเหตุใดมนุษย์ต่างดาวจึงยังไม่มาเยือนโลกเรา หรือติดต่อเรา
คำตอบก็มีว่า มันอาจเป็นไปไม่ได้ที่มนุษย์ที่อยู่บนโลกใบนี้ เป็นสิ่งมีชีวิตที่มีภูมิปัญญาสูงสุดในจักรวาล เมื่อเราฉลาดปราดเปรื่องที่สุดยัง เดินทางออกนอกสุริยจักรวาลก็ยังไม่ได้ การจะให้สิ่งมีชีวิตอื่นติดต่อกับเราหรือมาหาเราก็ยิ่งเป็นเรื่องที่เป็นไปไม่ได้ใหญ่
ส่วนอีกคำตอบหนึ่งที่เป็นไปไม่ได้ก็คือ มนุษย์ต่างดาวมีความฉลาดเฉลียวยิ่งกว่ามนุษยโลกมาก และเขาได้เห็นนิสัย ประเพณีและ วัฒนธรรม (จากการสังเกตดูระยะไกล) ของเราแล้ว เขาเกิดอาการสังเวชและรู้สึกทุเรศจนไม่อยากติดต่อกับเราก็เป็นได้

การเผชิญหน้ากับมนุษย์ต่างดาว

ได้มีการแบ่งประเภทการเผชิญหน้ากับมนุษย์ต่างดาวไว้ 5 ระดับ คือ
  • การเผชิญหน้าระดับที่หนึ่ง (Close Encounters of the First Kind) หมายถึง การได้พบปะหรือเจอะเจอกับจานบินหรือมนุษย์ต่างดาวในระยะที่ไกลห่างออกไป เช่น จานบินลอยอยู่บนท้องฟ้า หรืออยู่ห่างจากผู้ที่พบเจอในระยะ 50 หลา เป็นต้น
  • การเผชิญหน้าระดับที่สอง (Close Encounters of the Second Kind) หมายถึง การพบปะกับจานบินหรือมนุษย์ต่างดาวคล้ายกับการเผชิญหน้าระดับที่หนึ่ง แต่อยู่ในระยะที่ใกล้ขึ้น เช่น อาจพบจานบินที่จอดอยู่บนพื้น เป็นต้น
  • การเผชิญหน้าระดับที่สาม (Close Encounters of the Third Kind) หมายถึง การได้เข้าไปในจานบินจะด้วยสาเหตุใดก็ตามแต่สามารถจดจำประสบการณ์ได้และสามารถออกมาได้
  • การเผชิญหน้าระดับที่สี่ (Close Encounters of the Fourth Kind) หมายถึง การที่ถูกมนุษย์ต่างดาวจับตัวไป อาจจะถูกทดลองด้วยวิธีการต่าง ๆ นานา แต่สามารถจดจำประสบการณ์ได้และออกมาได้
  • การเผชิญหน้าระดับที่ห้า (Close Encounters of the Fifth Kind) หมายถึง การที่มีการติดต่อสื่อสารกับมนุษย์ต่างดาวในระดับที่เป็นกิจจะลักษณะ สามารถสื่อสารกันได้ความระหว่างมนุษย์โลกกับมนุษย์ต่างดาว


มนุษย์ต่างดาว

มนุษย์ต่างดาว (อังกฤษ: Alien) เป็นสิ่งที่เชื่อว่าอาจมีอยู่จริงแต่ยังไม่มีข้อพิสูจน์ ลักษณะเป็นสิ่งมีชีวิตที่อยู่นอกโลก ซึ่งในความคิดของคนส่วนใหญ่ มักจะวาดภาพ มนุษย์ต่างดาว ลักษณะคล้ายคนแต่ ตัวเขียว หัวโต ตาโต เคยมาเยือนโลกโดยมากับ จานบิน

มนุษย์ต่างดาวในจินตนาการ

มนุษย์ปัจจุบันยังไม่ได้ข้อพิสูจน์เรื่องมนุษย์ต่างดาว แต่ก็ยังมีจินตนาการภาพลักษณ์ของมนุษย์ต่างดาวที่ได้ในสื่อต่างๆ ทั้งภาพยนตร์ นิยาย การ์ตูน และ วีดีโอเกม

ประเภทของมนุษย์ต่างดาว

ได้มีการแบ่งประเภทตามลักษณะของผู้ที่อ้างว่าได้พบเจอมนุษย์ต่างดาวไว้ ดังนี้
  • เกรย์ (Grey) หมายถึง สีเทา โดยประเภทนี้พบบ่อยที่สุด (ดังในรูป) มีลักษณะหัวโต ตาโตสีดำ รูปร่างคล้ายมนุษย์ ไม่มีขน นิ้วทุกนิ้วเรียวยาว ผิวหนังสีเทา จึงเป็นที่มาของชื่อ สื่อสารกันด้วยการใช้โทรจิต
  • อเลสเฮนกา (Aleshenka) ตั้งตามชื่อหมู่บ้านแห่งหนึ่งในรัสเซีย ค้นพบเมื่อปี พ.ศ. 2539 โดยหญิงสติไม่สมประกอบผู้หนึ่ง มีการบันทึกการพบเจอไว้ด้วยเทปของตำรวจ แต่ภายหลังพบว่าแท้จริงแล้วเป็นเพียงตัวอ่อนของมนุษย์เท่านั้น[1]
  • กึ่งมนุษย์กึ่งสัตว์เลื้อยคลาน (Reptilian humanoid) ตัวสีเขียว รูปร่างคล้ายมนุษย์มี 2 ขา แต่มีผิวหนังและลักษณะคล้ายสัตว์เลื้อยคลาน
  • ดรอป้า (Dropa) ตัวเล็กมาก ก่อนหน้านี้มีหลักฐานว่าเคยพบบริเวณพรมแดนจีน-ทิเบต ราว 1 หมื่นปีก่อน แต่ต่อมาพบว่าเป็นหลักฐานเท็จ และเรื่องราวทั้งหมดเป็นเรื่องกุขึ้น[ต้องการอ้างอิง]
  • คล้ายหุ่นยนต์ (Robot) รูปร่างคล้ายหุ่นยนต์ในภาพยนตร์วิทยาศาสตร์ เนื้อตัวเป็นโลหะ ขนาดค่อนข้างใหญ่
  • คล้ายวิญญาณ (Soul) ไม่มีกายเนื้อ สีขาว คล้ายผีหรือวิญญาณ (ตามคำบอกเล่าของ ศ.ดร.น.พ.เทพพนม เมืองแมน)